วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ชั้นที่ 1 จตุมหาราชิกา





สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา หมายถึง ภูมิที่เป็นที่อยู่ของเทวดาซึ่งปกครองโดยท้าวมหาราช
สี่องค์เป็นมหาราชา เป็นภพที่ทับซ้อนอยู่กับมนุษย์นี่เอง แต่ต่างกันที่ขนาดและความละเอียด
จึงทำให้ไม่สามรถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสใดๆ ของมนุษย์

เทวดาชั้นนี้มีความเป็นอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด บางประเภทมีลูกหลานมีครอบครัว
เช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ต่างกันที่การเกิดของเทวดาไม่ได้เกิดมาจากครรภ์เหมือนมนุษย์
เมื่อถึงเวลาเทวดาก็จะมาเกิดบนตักของเขาเอง แล้วจึงนับว่าเทวดาองค์นั้นเป็นบุตร
วิธีการเกิดอย่างนี้ท่านเรียกว่าโอปาติกะ คือเกิดแล้วก็โตทันที อย่างเทวดาก็จะมีอายุประมาณ
17-18 ปีและเป็นอย่างนั้นไปตลอด ไม่มีแก่หรือเจ็บไข้ได้ป่วยแต่อย่างใด

การแบ่งชนนั้นของเทวดาก็ให้นับเอาจากสถานที่เกิด เช่น เทวดาที่ไม่มีวิมานของตัวเอง
ถ้าไปเกิดบนตักของเทพองค์ใด ก็จะเป็นประดุจบุตรของเทพองค์นั้น ถ้าเป็นหญิงไปเกิด
เหนือแท่นบรรทมก็จะป็นนางอัปสรรับใช้เทวดาองค์นั้น ถ้าเป็นหญิงไปเกิดใกล้แท่นบรรทม
ก็จะเป็นนางอัปสรรับใช้ คอยจัดเครื่องต้นเครื่องทรงของเทวดาองค์นั้น ถ้าเป็นชายไปเกิด
ในบริเวณปราสาทของเทวดาองค์ใดก็เป็นข้าบริวารขององค์นั้น ถ้าเป็นชายไปเกิดในระหว่าง
รอยต่อไม่ทราบว่าอยู่ในเขตขององค์ใด ก็ให้เทวราชผู้เป็นใหญ่ในชั้นนั้นตัดสิน หากตัดสิน
กันไม่ได้ก็จะทรงสำมาเป็นบริวารของพระองค์เอง

เทวดาในชั้นนี้มีความหลากหลายมาก มีทั้งกึ่งเทพกึ่งเดรัชฉาน กึ่งเทพกึ่งเปรต
กึ่งเทพกึ่งอสูรกายก็มี

จำพวกกึ่งเทพกึ่งเดรัชฉาน ก็ได้แก่ พวกครุฑ นาค ซึ่งจัดอยู่ในจำพวกเดรัชฉาน
แต่เนื่องจากมีกายทิพย์ มีฤทธิ์ สามารถเข้าออกสวรรค์ได้จึงอยู่ภายใต้ปกครองของเทวโลก
ชั้นนี้ด้วย ส่วนจำพวกกึ่งเทพกึ่งเปรต กึ่งเทพกึ่งอสูรกาย ก็ไดแก่ ยักษ์บางพวก กุมภันฑ์
และพวกที่แปรสภาพเป็นเปรตบ้างเป็นเทพบ้าง หรือเป็นอสูรกายบ้างเป็นเทพบ้าง
เสวยทั้งทุกข์และสุขที่ ตามผลจากบุญแลบาปที่ทำมา

ชนชั้นปกครองในชั้นจตุมหาราชิกา

ท้าวมหาราชทั้งสี่เป็นผู้ปกครองทั้งสี่ทิศรวมกันเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล แปลว่า ผู้รักษาโลก
ในทิศทั้งสี่

ท้าวมหาราชทั้งสี่ มีความเป็นใหญ่เท่ากันทุกประการ มีหน้าที่เกี่ยวกับมนุษย์และเทวโลกไปพร้อมๆกัน
ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของพระอินทร์ เทพผู้เป็นใหญ่ในชั้นดาวดึงส์ อันหมายถึงพระอินทร์มีอำนาจปกครองสูงสุดถึง 2 ชั้น

ท้าวจุโลกบาล ๔ พระองค์

๑.ท้าวธตรัฐมหาราช พระองค์มีรูปร่างสง่างาม สุรเสียงนุ่มนวล ชำนาญศิลปะดนตรี
เป็นผู้ปกครองเทวดาทางทิศตะวันออก มีขุนทัพประจำกาย 90 องค์ ล้วนแต่สง่างาม
น่าเกรงขาม ท้าวท่านปกครองเทวดาประเภท คนธรรพ์ และเทวดาบางจำพวก

คนธรรพ์ มีหน้าที่อำนวยความรื่นรมย์ให้แกเทวดา ชำนาญในการขับร้อง ร่ายรำ และเล่น
ดนตรีทุกชนิด

รุกขเทวดา เป็นชื่อเรียกเทวดาที่มีวิมานอยู่บนต้นไม้ ส่วนใหญ่เป็นเทพที่จิตใจดีงาม
ชอบช่วยเหลือมนุษย์

ภูมิเทวดา เทวดาประเภทนี้ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ภูมิเจ้าที่ หรือ เจ้าที่ มีสภาพความเป็นอยู่
คล้ายกับรุกขเทวดา วิมานของเขาต้องให้เทพผู้มีหน้าที่คอยเนรมิตให้

อากาสเทวดา เทวดาประเภทนี้มีหน้าที่ชัดเจน เพื่อความสมดุลของดินฟ้าอากาศ
เช่น เทวดาประจำพายุร้อน เทวดาประจำพายุเย็น เทวดาประจำฝน เทวดาประจำดวงจันทร์
เทวดาประจำดวงอาทิต

๒.ท้าววิฬุรหก มีรูปร่างสูงใหญ ผิวคล้ำปกครองเทวดาทางทิศใต้ มีขุนพลประจำกาย 90 องค์
มีเพจำพวก กุมภันฑ์ และ ครุฑ อยู่ใต้ปกครอง

กุมภัณฑ์ ที่จริงแล้ประเภทนี้ไม่ได้เป็นเทพเต็มตัว คือเป็นเทพกึ่งอสูรกาย จะเสวยสุขเหมือนเทพ
แต่มีร่างกายพิกลพิการไม่สง่างามเป็นการเสวยบุญปนบาป



ครุฑ เป็นสัตว์เดรัชฉานกายทิพย์ มีปีกสวยงาม มีฤทธิ์ สามารถจำแลงกายได้ มีชื่อเรียก
อีกอย่างว่า สุบรรณ

๓.ท้าววิรูปักษ์ มีรูปกายสูงสง่า น่าเกรงขาม มีขุนพลประจำกาย 90 องค์ สถิตในเทวโลก
ทางทิศตะวันออก ปกครองจำพวก นาคทั้งหลาย


นาค เป็นสัตว์เดรัชฉานกาทิพย์ มีฤทธิ์ รูปกายคล้ายงู แต่สามารถแปลงกายได้ อาศัยอยู่ใต้น้ำ
และทางน้ำใต้ดินที่รู้จักกันว่าเมืองบาดาล บางจำพวกที่มีฤทธิ์มาก อาศัยอยู่บนภูเขาก็มี เช่น
นันโทปนันทนาคราช

๔.ท้าวกุเวร หรื เวสสุวรรณ มีรูปกายสูงใหญ่ สง่างาม พระสุรเสียงกังวาล ทรงเป็นจอมแห่งยักษ์
มีขุนพลข้างกาย 90 องค์ สถิตอยู่ทางทิศเหนือ ปกครองพวกยักษ์


ยักษ์ แบ่งเป็นประเภทใหญ่ได้ 2 ประเภท ประเภทแรกไก้แก่เทวดาปกติ มีรูปกายสง่างาม
ผิวพรรณผุดผ่อง แต่สถานภาพทางชนชั้นถูกจัดเป็นพวกยักษ์ อีกประเภทหนึ่ง มีรูปร่าง
อัปลักษณ์ ดำบ้าง อ้วนบ้าง มีนิสัยขี้โมโห เห็นแก่ตัว มีอารมณ์แปรปวน ชอบเกะกะระราน
เทวดาอื่น ประเภทนี้ถ้ามีฤทธิ์มาก จะไม่เกรงกลัวใคร ยอมให้แต่เหนือหัวของตน