วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552




สวรรค์ ภพทิพย์มหัศจรรย์แห่งสุขาวดี




สวรรค์มีจริง ผู้สะสมกุศลกรรมเท่านั้นที่มีสิทธิ์เสวยสุขอันปราณีตละเอียด
จงเร่งแสวงหากุศลกรรมกันเถิดก่อนจะสาย เวลาเหลือนน้อยนัก ความประมาท
อาจนำไปสู่ทุกข์เวทนาอย่างคาดไม่ถึง นรกหรือสวรรค์อยู่ที่มนุษย์จะเลือกเอง




ทุกชีวิตย่อมมีกรรมเป็นของตัวเอง กรรมเหล่านั้นจึงเป็นตัวส่งให้

มีภพ ชาติ ตามสถานะแห่งกรรม เมื่อมีกิเลส มีความอยาก ความทุกข์ก็ย่อมมีอยู่เป็นธรรมดา

สรรพสิ่งจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่เช่นนี้ สุขบ้าง ทุกข์บ้างไม่มีวันหลุดพ้น พระอรหันต์เท่านั้น

ที่อยู่นอกเหนือจากวงจรแห่งทุกข์

ภพแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

ภพทั้งหลาย จำแนกได้เป็น 31 ภพ ซึ่งจำแนกได้เป็น 4 สายได้แก่

สายที่ 1 อบายภูมิ 4 ได้แก่ สัตว์นรก อสูรกาย เปรต เดรัจฉาน

สายที่ 2 มนุษยภูมิ ได้แก่ มนุษย์

สายที่ 3 สวรรค์ภูมิ 6 ได้แก่ จตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานนรดี ปรนิมิตวสวัตตี

สายที่ 4 พรหมภูมิ แบ่งเป็นรูปพรหม 16 และ อรูปพรหม 4

ต่อไปนี้จะกล่าวถึงภพสุขติภูมิ ที่เป็นภูมิสวรรค์ 6


นรก-สวรรค์มีจริงหรือ?


คำถามเหล่านี้ได้ปรากฎอยู่ในทุกยุคสมัย ความจริงแล้วโลกเรานั้น มีทั้งสิ่งที่หยาบที่สุด


ไปจนถึงเล็กที่สุด สิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น บางครั้งต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือ


ในการพิสูจน์การมีตัวตนของสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านั้น แต่เมื่อพิสูจน์ได้ ก็ย่อมเชื่อได้ว่ามี


มนุษย์ในสมัยที่ยังไม่ได้พัฒนาปัญญามากนัก ก็ไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมือในการพิสูจน์บางสิ่ง


บางอย่าง สิ่งเหล่านั้นจึงไม่ได้มีในโลกของพวกเค้า แบททีเรีย ไวรัส คลื่นแม่เหล็กและอีก


หลายอย่างก็ไม่มีตัวตน เพราะไม่เคยค้นพบ ไม่เคยมองเห็น


แม้มนุษย์ในปัจจุบันก็เช่นกัน สิ่งที่ยังมองไม่เห็นอีกมากมายก็ไม่ได้หมายถึง


ว่าไม่มี หากเรายังไมมีปัญญาพอที่จะค้นพบและมองเห็นสิ่งเหล่านั้น


เรื่องนรกสวรรค์นั่นก็เป็นปัจเจก คือ รู้เห็นได้เฉพาะตน ตราบใดที่เรายังไม่


รู้แจ้งเห็นจริงในทุกเรื่อง ก็ต้องมีคนสงสัยกันต่อไป


“ปายาสิราชา” กษัตริย์ผู้ทรงมีความรู้กว่างขวาง แต่ไม่ทรงเชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า


ครั้นเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของ ”พระกุมารกัสสปะ” สาวกของพระพุทธองค์ จึงเข้าไปโต้คารม


กับพระเถระ ท้าวท่านเปิดประเด็นว่า


ปายาสิราชา “มีแต่โลกนี้เท่านั้นโลกหน้าไม่มี โลกอื่นไม่มี”


พระกุมารกัสสปะ “พระอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ เป็นโลกนี้หรือโลกอื่น


ปายาสิราชา “เป็นโลกอื่นสิ”


พระกุมารกัสสปะ “แล้วใยท่านว่าโลกอื่นไม่มี”


ปายาสิราชา “ข้อนั้นเอาไว้ก่อน แล้วถ้าโลกหน้ามีจริง ไฉนญาติมิตรของเราที่ทำกรรมชั่วเอาไว้


ครั้นจวนสิ้นใจ เราสั่งไว้ว่า ถ้าไปตกนรกแล้วจงรีบมาบอกเราด้วยว่า นรกมีจริง เราก็


รอมาหลายปี ไม่เห็นมีใครมาบอก นี่แสดงว่านรกไม่มี คนตายแล้วก็หรดกัน”


พระกุมารกัสปะ “ถ้าใครที่ถูกจับแล้วถูกตัดสินประหารชีวิต โจรนั้นขออนุญาตให้เขา


ไปบอกพวกพ้องเขาเสียก่อน เจ้าหน้าที่จะอนุญาตหรือไม่"

ปายาสิราชา "ไม่ได้"


พระกุมารกัสสปะ “นี่ก็เหมือนกัน สัตว์ที่หมกไหม้ในนรก ย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมา


เล่าให้พระองค์ทราบเช่นกัน”


ปายาสิราชา “ยังมีอีก พวกสมณพราหมณ์ที่ปฏบัติดีปฏิบัติชอบ เมื่อพวกท่านจวนสะสิ้นใจ


เราได้สั่งว่าถ้าท่านไปเกิดบนสวรรค์ จงกลับมาบอกแก่เราด้วยว่าสวรรค์มีจริง แต่จะมีใคร


มาบอกก็หาไม่แสดงว่าสวรรค์ไม่มีจริง”


พระกุมารกัสสปะ “มีชายคนหนึงจมลงไปในหลุมอุจจาระจนมิดศีรษะ แล้วมีชายอีกคนช่วย


ให้พ้นขึ้นมาได้ นำไปอาบน้ำชำระร่างกาย แล้วพาไปอยู่ในคฤหาสใหญ่โต ถามว่าชายผู้นั้น


จะยังคงพอใจตกลงมาในหลุมคูถอีกหรือ”


ปายาสิราชา “ไม่มีใครต้องการอย่างนั้นแน่นอน”


พระกุมารกัสสปะ “พวกที่ไปเกิดบนสวรรค์ก็เช่นกัน ย่อมเพลิดเพลินด้วยความสุขในสวรรด์


เสวยกามคุณทั้ง ๕ อันเป็นทิพย์ สำหรับโลกมนุษย์ ก็เป็นเหมือนหลุมคูถของพวกเทวดา


ไม่มีทางที่เขาจะกลับมาทูลให้พระองค์ทราบแน่นอน


อีกประการ วันเวลาในสวรรค์ก็นานกว่าโลกมนุษย์มาก ร้อยปีมนุษ์เท่ากับวันหนึ่ง


คืนหนึ่งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อคนที่ไปเกิดบนสวรรค์คิดว่าอีกสักวันสองวันค่อยกลับ


มาทูลให้พระองค์ทราบ พระองค์จะอยู่นานถึงวันนั้นหรือไม่”


ปายาสิราชา “ไม่ได้ คงตายก่อน” “ใครหนอช่างรู้ได้ว่า วันเวลาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีอายุ


ยืนนานถึงเพียงนั้น เราไม่อยากเชื่อ”


พระกุมารกัสสปะ “มีคนตาบอดแต่กำเนิด เที่ยวบอกว่า สีดำไม่มี สีขาวไม่มี สีเหลืองไม่มี


คนที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่มี ดวงดาว ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ไม่มีคนที่เห็นดวงดาวนั้นก็ไม่มี


เพราะว่าเราไม่รู้ไม่เห็น สิ่งเหล่านั้นจึงไม่มี จะมีคนเชื่อเขาบอกหรือป่าว”


ปายาสิราชา “กล่าวพูดไม่ถูก จะเชื่อได้อย่างไร”


พระกุมารกัสสปะ “ที่พระองค์ปฏิเสธเรื่องเทพชั้นดาวดึงส์ ก็นัยเดียวกัน เพราะพวกสมณะ


และพวกพราหมณ์บางท่าน ซึ่งอยู่ในที่อันสงัด ไม่ประมาทในความเพียร ฝึกจิตจนได้ทิพยจักษุ


สามารถมองเห็นโลกอื่น เห็นสัตว์จำพวกโอปปาติกะ อันตาเนื้อของมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถ


เห็นได้ เรื่องโลกหน้า ต้องเห็นได้ด้วยวิธีนี้”


ความในปายาสิสูตร ยาวพอสมควรซึ่งตามความเพียงเท่านี้ก็พอสรุปได้บ้างแล้ว